ภาษีรถยนต์

ภาษีรถยนต์ ทำไมต้องต่อทุกปี มีวิธีและขั้นตอนอย่างไร

รู้หรือไม่ว่าป้ายสี่เหลี่ยมที่ติดหน้ารถ หรือที่เรียกกันติดปากว่าป้ายวงกลมนั้น ได้มาจากการจ่ายภาษีรถยนต์ ไม่ใช่พ.ร.บ.รถยนต์ แล้วป้ายเล็ก ๆ นี้มีความสำคัญ มีขั้นตอนในการได้มาอย่างไร ต้องไปจ่ายที่ไหนถึงจะได้มา มาศึกษาได้ในบทความนี้

Link ที่เกี่ยวข้อง

ไม่ต่อภาษีรถยนต์ ระวังถูกปรับ หรือระงับการใช้รถ

การต่อภาษีรถยนต์ เป็นการจ่ายภาษีประเภทหนึ่งสำหรับผู้ใช้รถ เพื่อภาครัฐจะนำเงินในส่วนนี้ไปใช้เพื่อสนับสนุนงานด้านคมนาคมต่างๆ  เช่น นำไปปรับปรุงถนนหนทาง หรือนำไปพัฒนาระบบการคมนาคมอื่น ๆ ให้ดียิ่งขึ้น 

แต่ถ้าไม่ต่อภาษีรถยนต์อาจมีโทษตามระยะเวลาที่ขาดต่อไป เช่น

หากขาดต่อ 1-3 ปี

มีโอกาสจะโดนตำรวจโบก เสียค่าปรับ และยังต้องเสียค่าปรับกับกรมขนส่ง 1% ต่อเดือน

หากขาดต่อเกิน 3 ปี

รถจะถูกระงับทะเบียน

ต้องนำรถไปทำเรื่องเพื่อจดทะเบียนภาษีรถยนต์ใหม่ และอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าตรวจสภาพรถ หรือค่าป้ายใหม่

ภาษีรถยนต์ VS พ.ร.บ.รถยนต์ ต่างกันอย่างไร

ทราบหรือไม่ว่า “ไปต่อทะเบียน” ที่หลายคนคุ้นหู หมายถึงอะไร เป็นการไปต่อภาษีรถยนต์ หรือต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ ทั้งสองอย่างนี้เหมือกันหรือไม่

ปกติคนส่วนใหญ่นิยมทำทั้งสองอย่างนี้ไปพร้อมกัน แต่จริง ๆ แล้วการไปต่อทะเบียน หมายถึงการต่อภาษีรถยนต์ ซึ่งแตกต่างกับการต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ อย่างสิ้นเชิง มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกัน คือ ต้องจ่ายทุกปีและถ้าไม่ต่อก็จะมีโทษตามกฎหมาย
ภาษีรถยนต์
พ.ร.บ.รถยนต์
จุดประสงค์ในการต่อ จุดประสงค์ในการต่อ เพื่อไปดูแลรักษาระบบคมนาคมและภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงจากเหตุไม่คาดฝัน เช่น บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ในรูปแบบของค่ารักษาพยาบาล หรือเงินชดเชยอื่นๆ

และเป็นเอกสารเพื่อใช้ประกอบการต่อภาษีรถยนต์
ระยะเวลาที่ต้องชำระ ชำระก่อนวันหมดอายุที่ระบุไว้ทุกปี ชำระทุกปี
โทษหากไม่ต่อ ผิดกฏหมาย ปรับและระงับทะเบียน ผิดกฏหมาย ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
สิ่งที่ได้หลังจากต่อ ป้ายภาษี หรือที่เรียกว่าป้ายวงกลม ป้ายสี่เหลี่ยม เอกสารกรมธรรม์ พ.ร.บ. รถยนต์

สำหรับภาษีรถยนต์ คือ ค่าใช้จ่ายที่เจ้าของรถทุกคนต้องดำเนินการชำระทุกปี เพื่อนำเงินไปดูแลรักษาระบบคมนาคมและภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการที่จะจ่ายภาษี ต้องต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ให้เรียบร้อยก่อน เพื่อนำเอกสาร พ.ร.บ. รถยนต์ ไปต่อภาษี ส่วนระยะเวลาที่ผู้ขับขี่ต้องต่อภาษี สามารถเช็กได้ง่าย ๆ จากวันหมดอายุที่เขียนไว้บนป้ายภาษีหรือที่เรียกว่าป้ายวงกลมหน้ารถได้เลย

รถแต่ละประเภทก็จะมีอัตราค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป โดยกรมการขนส่งทางบกจัดเก็บภาษีในอัตราต่าง ๆ ตาม พ.ร.บ รถยนต์ พ.ศ. 2522 เช่น รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จัดเก็บตามความจุกระบอกสูบ (ซีซี) และรถยนต์ประเภทอื่นจัดเก็บเป็นรายคัน เป็นต้น

1. จัดเก็บตามความจุกระบอกสูบ (ซีซี)

รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน 

  • 600 ซีซีแรก ซีซีละ 0.50 บาท
  • 601 – 1,800 ซีซี ซีซีละ 1.50 บาท
  • เกิน 1,800 ซีซี ซีซีละ 4.00 บาท

รถของนิติบุคคลที่มิได้เป็นผู้ให้เช่าซื้อ    

  • จ่ายภาษี 2 เท่า 

รถที่จดทะเบียนมาแล้ว 5 ปี
จะได้รับการลดหย่อนภาษีประจำปีในปีต่อ ๆ ไป ดังนี้

  • ปีที่ 6 ร้อยละ 10
  • ปีที่ 7 ร้อยละ 20
  • ปีที่ 8 ร้อยละ 30
  • ปีที่ 9 ร้อยละ 40
  • ปีที่ 10 ขึ้นไป ร้อยละ 50

2. จัดเก็บเป็นรายคัน

  • รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล คันละ 100 บาท
  • รถจักรยานยนต์สาธารณะ คันละ 100 บาท
  • รถพ่วงข้างจักรยานยนต์ส่วนบุคคล คันละ
    50 บาท 
  • รถพ่วงชนิดอื่น คันละ 100 บาท
  • รถบดถนน คันละ 200 บาท
  • รถแทรกเตอร์ที่ใช้ในการเกษตร คันละ 50 บาท

3. จัดเก็บตามน้ำหนัก

เช็กอัตราตามน้ำหนักและประเภทรถได้ ที่นี่

4. รถพลังงานไฟฟ้า

  • รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ให้เก็บภาษีตามน้ำหนักของรถในอัตรารถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน
  • รถพลังงานไฟฟ้าอื่น ๆ ให้เก็บภาษีครึ่งหนึ่งของการเก็บรายคันและตามน้ำหนัก

 

ต่อภาษีรถยนต์ได้เมื่อไหร่

การต่อภาษีรถยนต์สามารถทำได้ตลอดปี ขึ้นอยู่กับวันหมดอายุของป้ายวงกลมที่ระบุไว้หน้ารถ และสามารถต่อล่วงหน้าได้มากถึง 90 วันก่อนครบกำหนด

หากผู้ขับขี่กลัวว่าจะลืมต่อภาษีรถยนต์ สามารถดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” เพื่อรับการแจ้งเตือนก่อนครบกำหนดจ่ายภาษี เพราะแอปฯ จะตั้งค่าเตือนผู้ใช้บริการถึง 3 รอบ คือ 

  • ก่อนหมดอายุ 3 เดือน (90 วัน) 
  • ก่อนหมดอายุ 1 เดือน (30 วัน) 
  • ณ วันที่หมดอายุ (แจ้งเตือนครั้งสุดท้าย)

เตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนต่อภาษีรถยนต์

การต่อภาษีรถยนต์ใช้เอกสาร ดังนี้ 

  1. หนังสือแสดงการจดทะเบียนรถ (ถ้ามี) หรือใบแทน
  2. หลักฐานการจัดให้มีประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535
  3. หลักฐานการผ่านการตรวจสภาพรถ สำหรับรถยนต์ที่มีเงื่อนไขดังนี้ 
    • รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1) ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปี ขึ้นไป
    • รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย. 2) ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปี ขึ้นไป
    • รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3) ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปี ขึ้นไป
    • รถจักรยานยนต์ (รย.12) ที่มีอายุใช้งานครบ 5 ปี ขึ้นไป

โดยนับอายุรถเริ่มตั้งแต่วันจดทะเบียนครั้งแรก และสามารถเช็กอัตราค่าตรวจสภาพได้ ที่นี่

ต่อภาษีรถยนต์ต้องไปที่ไหน

เมื่อเช็กวันหมดอายุเรียบร้อยแล้ว สามารถไปต่อภาษีได้ทั้งหมด 2 ช่องทางคือ ตามจุดบริการต่าง ๆ เช็กได้ ที่นี่ หรือช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน

จุดบริการ

  • สำนักงานขนส่ง / บริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax)
  • ตู้รับชำระภาษีรถประจำปีอัตโนมัติ (Kiosk) ณ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1-5
  • ที่ทำการไปรษณีย์
  • ห้างสรรพสินค้าที่เข้าร่วมโครงการ เช็กได้ ที่นี่
  • ธนาคารเพื่อการเกษตร และ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
  • จุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ
  • ศูนย์บริการร่วมคมนาคม เชิงสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน

ช่องทางออนไลน์

  • ต่อภาษีผ่าน เว็บไซต์ โดยสามารถต่อได้เฉพาะรถที่ตรงตาม เงื่อนไข เหล่านี้ เช่น เป็นรถที่ไม่ติดแก๊ส ไม่ถูกระงับทะเบียน เป็นต้น  
  • ต่อภาษีผ่านแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax, mPay และ Truemoney Wallet

ขั้นตอนการต่อภาษีรถยนต์ง่าย ๆ

เมื่อเลือกวิธีชำระเงินได้แล้ว มาศึกษาขั้นตอนการจ่ายภาษีง่ายๆ เพิ่มความมั่นใจก่อนไปชำระได้ดังนี้  

กรณีที่ 1 จ่ายตามจุดบริการ

  1. เตรียมเอกสารตามข้างบนให้เรียบร้อย
  2. ยื่นขอคำขอต่อทะเบียนรถ  ณ สถานที่ที่รับต่อภาษีรถยนต์ เช่น ตามสำนักงานขนส่ง หรือ เคาน์เตอร์เซอร์วิส 
  3. ดำเนินการตรวจสภาพรถ ณ จุดที่กำหนด (หากดำเนินการนอกขนส่ง จำเป็นต้องขอเอกสารตรวจสภาพรถก่อน)
  4. ชำระค่าธรรมเนียม โดยสามารถเช็กยอดภาษีได้จากเว็บไซต์ของกรมขนส่ง
  5. รับเครื่องหมายแสดงการจ่ายภาษี หรือหรับป้ายวงกลมมาติดหน้ารถ

** หากต่อภาษีที่ 7-11 จะมีค่าธรรมเนียมการจัดส่งเอกสาร และสามารถรอรับเอกสาร เช่น ใบเสร็จ และป้ายภาษี ได้ตามที่อยู่ที่แจ้งไว้ ** 

กรณีที่ 2 จ่ายออนไลน์ผ่านเว็บไซต์

  1. เข้าเว็บไซต์กรมขนส่งทางบก (e-Service) 
  2. ลงทะเบียนเพื่อขอรับรหัสผ่าน (กรอกชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด ที่อยู่ให้จัดส่งเอกสาร และเบอร์โทรศัพท์)
  3. กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับรถ
  4. กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับหลักฐานการเอาประกัน ตาม พ.ร.บ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 (กรณี พ.ร.บ. ที่มีความคุ้มครองมากกว่า 3 เดือน)
  5. เลือกวิธีชำระเงิน ได้แก่
    • หักบัญชีเงินฝาก เช็กธนาคาร/หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการ คลิก ที่นี่
    • ชำระด้วยบัตรเครดิต/บัตรเดบิตที่มีสัญลักษณ์ VISA , MASTERCARD
    • พิมพ์ใบแจ้งชำระภาษีรถแล้วนำไปชำระ ณ เคาน์เตอร์หรือตู้ ATM ของธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ
    • กรมการขนส่งทางบก จะส่งใบเสร็จรับเงิน เครื่องหมายแสดงการจ่ายภาษี และ กรมธรรม์ พ.ร.บ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ให้ผู้ชำระเงินทางไปรษณีย์
  6. กรมการขนส่งทางบก จะส่งใบเสร็จรับเงิน เครื่องหมายแสดงการจ่ายภาษี และ กรมธรรม์ พ.ร.บ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ให้ผู้ชำระเงินทางไปรษณีย์
  7. เจ้าของรถสามารถนำใบคู่มือจดทะเบียนรถไปบันทึกได้ ณ หน่วยงานทะเบียนกรมการขนส่งทางบก ทั่วประเทศ

** หากต่อภาษีออนไลน์ จะมีค่าธรรมเนียมการจัดส่งเอกสาร ค่าธรรมเนียมธนาคารหรือค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ** 

หากมีข้อสงสัย สามารถศึกษาข้อมูลการใช้งานระบบออนไลน์เพิ่มเติม ได้ ที่นี่

เอกสารที่ใช้สำหรับการทำใบขับขี่รถสาธารณะ ทั้งการขอใหม่ การต่อใบขับขี่ และกรณีใบขับขี่หาย มีดังนี้

ขาดต่อภาษีเกิน 3 ปี ต้องทำอย่างไร

หากขาดต่อภาษีเป็นเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป ทางขนส่งจะดำเนินการระงับทะเบียนทันที แต่ก็อย่าได้กังวลใจไป มาลองอ่านวิธีต่อภาษีและทำตามไปพร้อม ๆ กันได้เลย

หากผู้ขับขี่ยังคงต้องการใช้รถคันเดิม ต้องยื่นขอจดทะเบียนรถใหม่ ชำระภาษีรถยนต์ย้อนหลังตามจำนวนปีที่ขาดไปพร้อมทั้งเสียค่าปรับ คืนป้ายทะเบียนเดิม และทำการจดทะเบียนรถใหม่ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น โดยมีเอกสารและขั้นตอนดังนี้

เอกสารที่ต้องใช้

  1. หนังสือแสดงการจดทะเบียนรถ (ยกเว้นรถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน)
  2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือหนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล 
  3. หลักฐานการได้มาของรถ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าซื้อ ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษีของทุกทอดที่มีการซื้อขาย เว้นแต่การจำหน่ายช่วงแรก (จากบริษัทผู้ผลิต) ไม่ต้องใช้
  4. หนังสือแจ้งการจำหน่ายจากบริษัทผู้ผลิต กรณีเป็นรถนำเข้าต้องใช้หลักฐานการนำเข้าได้แก่ ใบรับรองการนำเข้า (แบบ 32) จากกรมศุลกากร, ใบเสร็จรับเงินค่าอากรขาเข้า, บัญชีแสดงรายการสินค้า (INVOICE)
  5. พ.ร.บ.รถยนต์
  6. กรณีไม่ได้มาดำเนินการด้วยตนเอง
    • หนังสือมอบอำนาจ 
    • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบ

ขั้นตอน

  1. ยื่นแบบคำขอจดทะเบียนพร้อมหลักฐานประกอบคำขอ
  2. นำรถเข้าตรวจสภาพ ณ งานตรวจสภาพรถ
  3. ตรวจสอบการบรรจุรถในบัญชี ขส.บ.11
  4. ชำระเงินค่าธรรมเนียมและจ่ายภาษีรถ ดังนี้ 
    • ค่าจดทะเบียนรถใหม่ 315 บาท
    • ค่าสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ 100 บาท
    •  ค่าแผ่นป้ายทะเบียนรถ ป้ายละ 100 บาท
    • หลักฐานการประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535
    • อัตราภาษีของรถแต่ละประเภท
    • ค่าธรรมเนียมการตรวจสภาพรถยนต์
      50 บาท
  5. รับแผ่นป้ายทะเบียนรถ  เครื่องหมายแสดงการจ่ายภาษีและหนังสือแสดงการจดทะเบียนรถ

สำหรับรถที่จอดรถทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน เลิกใช้รถไปแล้ว หรือรถสูญหาย ผู้ขับขี่ก็ต้องไปแจ้งไม่ใช้รถ ณ สำนักงานขนส่งที่รถนั้นจดทะเบียนอยู่  ไม่เช่นนั้นหากปล่อยไว้เป็นเวลานานเกิน 3 ปี ทะเบียนก็จะถูกระงับ ต้องจ่ายภาษีและค่าปรับถึงแม้จะไม่ได้ใช้ขับขี่ก็ตาม โดยมีเอกสารและขั้นตอนดังนี้

เอกสารที่ต้องใช้

  1. ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
  2. สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน กรณีเป็นนิติบุคคล ใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
  3. แผ่นป้ายทะเบียนรถ
  4. แบบคำขอแจ้งไม่ใช้รถ ซึ่งกรอกรายการและลงลายมือชื่อเจ้าของรถเรียบร้อยแล้ว
  5. กรณีไม่ได้มาดำเนินการด้วยตนเอง
    • หนังสือมอบอำนาจ 
    • บัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบ

ขั้นตอน

  1. ยื่นคำขอแจ้งไม่ใช้รถ พร้อมหลักฐานและแผ่นป้ายทะเบียนรถ
  2. ชำระค่าธรรมเนียม ค่ายื่นคำร้อง 25 บาท/คัน
  3. รับใบเสร็จรับเงิน และใบคู่มือจดทะเบียนรถ

นอกจากที่ผู้ขับขี่รถยนต์จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายการจราจรบนท้องถนนแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างที่ควรให้ความสำคัญ คือการต่อภาษีรถยนต์ เพื่อที่รัฐจะนำเงินไปพัฒนาถนนและระบบคมนาคมให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นผู้ขับขี่ทุกคนควรหมั่นสังเกตวันหมดอายุที่ป้ายป้าษีหน้ารถยนต์ เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายค่าปรับหรือเดินเรื่องต่อภาษีใหม่

Link ที่เกี่ยวข้อง

คุณให้คะแนนบทความนี้เท่าไหร่

Sending

ขอบคุณสำหรับคะแนน
ต้องการแนะนำเพิ่มเติมหรือไม่ ?

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ

แชร์ข้อมูลหรือคำแนะนำเพิ่มเติม ?

ความเห็นของคุณสำคัญกับเรา เพื่อปรับปรุงคุณภาพบทความ ให้มีประโยชน์กับทุกๆคนมากขึ้น
Sending

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุ้กกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ปุ่มตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สพร. เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สพร. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลการใช้งาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้ สพร. ทราบถึงการปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในการใช้บริการเว็บไซต์ของ สพร. รวมถึงหน้าเพจหรือพื้นที่ใดของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่น ๆ สพร. ยังใช้ข้อมูลนี้เพื่อการปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์ และเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานมากขึ้น ถึงแม้ว่า ข้อมูลที่คุกกี้นี้เก็บรวบรวมจะเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ และนำมาใช้วิเคราะห์ทางสถิติเท่านั้น การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ สพร. ไม่สามารถทราบปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ และไม่สามารถประเมินคุณภาพการให้บริการได้

  • คุกกี้เพื่อการใช้งานเว็บไซต์ (Functional Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของ สพร. จดจำตัวเลือกต่าง ๆ ที่ท่านได้ตั้งค่าไว้และช่วยให้เว็บไซต์ส่งมอบคุณสมบัติและเนื้อหาเพิ่มเติมให้ตรงกับการใช้งานของท่านได้ เช่น ช่วยจดจำชื่อบัญชีผู้ใช้งานของท่าน หรือจดจำการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าขนาดฟอนต์หรือการตั้งค่าต่าง ๆ ของหน้าเพจซึ่งท่านสามารถปรับแต่งได้ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้อาจส่งผลให้เว็บไซต์ไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของ สพร. ทั้งนี้ หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของ สพร. แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่น ๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน

บันทึกการตั้งค่า