คนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานอาจคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เมื่อต้องคิดถึงวัยเกษียณหรือการที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ความจริงแล้ว ถ้าเราไม่รีบวางแผนด้านการเงินตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อถึงวัยเกษียณ ก็อาจมีเงินไม่เพียงพอที่จะใช้ในช่วงบั้นปลายชีวิต เพราะถ้าเพิ่งจะมาเริ่มต้นเก็บเงินก็อาจจะมีเวลาไม่พอ ดังนั้นเราจึงต้องวางแผนออมเงินไว้ล่วงหน้า เพื่อจะได้มีเงินมากพอที่จะใช้ในการดำรงชีวิตหลังเกษียณ
Link ที่เกี่ยวข้อง
การเตรียมตัวก่อนวัยเกษียณ
เกษียณอายุ หมายถึง การครบกำหนดอายุการทำงาน หรือ สิ้นสุดเวลาการทำงานหลังจากทำงานมาตลอดทั้งชีวิต ซึ่งความพร้อมในวัยเกษียณของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ถ้าใครวางแผนล่วงหน้าไว้ดี ก็จะไม่ต้องกังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในวัยเกษียณ
ออมเงินเพื่อเกษียณ เรื่องสำคัญของคนทำงาน
การออมเงิน ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ช่วยให้การใช้ชีวิตในช่วงหลังวัยเกษียณมีความราบรื่น มีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่ต่างจากช่วงก่อนวัยเกษียณ โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายที่มีความจำเป็นต้องใช้
จุดนี้ “เป้าหมายเกษียณ” นั้นถือว่าสำคัญมาก และการไปถึงเป้าหมายนี้ มี 3 สิ่งที่ควรคำนึงถึง ได้แก่
- เริ่มไวเท่าไหร่ก็ยิ่งดี การจะถึงเป้าหมายได้ไวนั้น วงเงินที่เก็บต้องไม่สูงมาก เพราะมีเวลาออมนาน
- การออมเงินให้ “ถูกที่-ถูกทาง” มาจากการทำงานได้เต็มศักยภาพ คุ้มค่ากับที่เราเหนื่อยหาเงิน
- บริหารเวลาให้คุ้มค่า…วางแผนออมเงินดีมีชัยกว่า ‘เวลา’ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะยิ่งเริ่มต้นได้ไวเท่าไหร่ และบริหารจัดแผนการเพื่อให้เกิดแผนเก็บเงินที่เหมาะสมกับตัวเรามากเท่าไหน จำนวนเงินที่จะเตรียมไว้ใช้เกษียณก็มีมากเท่านั้น
เตรียมตัวอย่างไรก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ
- เตรียมร่างกายให้แข็งแรง ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งของคนอายุ 60 ปีขึ้นไปคงหนีไม่พ้นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ และค่ารักษาพยาบาลต่าง ๆ ผู้สูงอายุจึงต้องสำรองเงินไว้สำหรับส่วนนี้ด้วย โดยตรวจสอบสิทธิการรักษาไว้ด้วยว่าตัวเองสามารถใช้สิทธิการรักษาอะไรได้บ้าง
- เตรียมใจ วัยเกษียณเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง จากที่เคยทำงานอยู่ทุกวัน ก็ต้องเปลี่ยนมาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน ดังนั้นต้องหากิจกรรมมาช่วยในเตรียมพร้อมและดูแลจิตใจ เช่น ฝึกสมาธิ ฝึกจิตใจให้ผ่อนคลาย หรือ หากิจกรรม หรืองานทำ เพื่อให้จิตใจเข้มแข็ง
- เตรียมเงินและทรัพย์สิน เงินคือปัจจัยสำคัญที่จะนำมาใช้จ่ายในวัยหลังเกษียณ ฉะนั้นก่อนที่วัยเกษียณจะมาถึง ผู้สูงอายุจึงต้องเตรียมเงินสำหรับใช้จ่ายไว้ให้พร้อมก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าในอนาคตจะใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ และมีเพียงพอหรือไม่
ประเมินและคำนวณเงินที่ต้องใช้ในวัยเกษียณ
- กำหนดอายุที่จะเกษียณ เพื่อจะได้รู้ว่ามีเวลาเตรียมเงินนานเท่าไหร่
- คาดการณ์ช่วงเวลาที่จะใช้ชีวิตหลังวัย 60 ปี เช่น 20 ปี เพื่อให้รู้ว่าต้องใช้เงินไปอีกสักกี่ปี รวมถึงประเมินสุขภาพร่างกายตัวเองด้วย
- คาดการณ์ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน โดยต้องไม่ลืมเรื่องมูลค่าของเงิน (เงินเฟ้อ) จากนั้นให้คำนวณเงินเป็นรายปีตามช่วงอายุหลังเกษียณ
- คาดการณ์ว่าจะมีเงินออมไว้ใช้เท่าไหร่ โดยคำนวณจากแหล่งเงินออมต่าง ๆ ที่มี เช่น เงินบำเหน็จบำนาญ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินกองทุนประกันสังคม ประกันชีวิต เงินฝากอื่น ๆ
- คำนวณเงินออมที่มี เทียบกับเงินที่จะใช้หลังเกษียณ หากมีเงินไม่มากพอ ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย เช่น ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือลงทุนออมเงินเพิ่ม เช่น การลงทุนพันธบัตร หุ้นกู้ และกองทุนต่างๆ
ออมเงินเท่าไหร่ ถึงจะพอใช้ในวัยเกษียณ
ถ้าอยากรู้ว่าต้องออมเงินเท่าไหร่ ถึงจะพอใช้ในวัยเกษียณนั้น ให้เราลองประเมินดูว่า
จะมีชีวิตอยู่อีกกี่ปี?
- คนส่วนใหญ่เกษียณเมื่ออายุ 60 ปี
- ผู้ชายไทยจะมีอายุเฉลี่ย เท่ากับ 73.5 ปี
- ผู้หญิงอายุเฉลี่ย เท่ากับ 80.5 ปี
หลังเกษียณจะใช้เงิน เดือนละเท่าไหร่?
ยกตัวอย่าง นาย A ปัจจุบันอายุ 30 ปี คาดการณ์จะเกษียณอายุ 60 ปี และจะมีชีวิตถึง 80 ปี โดยอยากใช้เงินเดือนละ 20,000 บาท (ไม่รวมค่ารักษาพยาบาล ท่องเที่ยว เปลี่ยนรถยนต์ หรือซ่อมบ้าน) แต่ต้องไม่ลืมว่า เงิน 20,000 บาทวันนี้ อาจจะมีค่าเป็น 40,000 บาท ในอีก 30 ปีข้างหน้า
ดังนั้น เมื่อ นาย A อายุ 60 ปี จะต้องมีเงินออมเพื่อเกษียณราว 11 ล้านบาท และวางแผนว่าหลังเกษียณจะต้องลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4% เพื่อให้มีเงินพอใช้จนถึงอายุ 80 ปี
แนะนำโปรแกรมคำนวณเงิน
แนะนำ แผนการออมเงินสำหรับวัยเกษียณ
การออมงินเพื่อเกษียณ ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ช่วยให้การใช้ชีวิตในช่วงวัยเกษียณราบรื่น มีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนช่วงที่ยังทำงานอยู่ ซึ่งการออมมีหลายเประเภท เช่น ออมหุ้น-ออมกองทุน ฝากเงินกับธนาคาร ประกันบำนาญ หรือออมเงินผ่านกองทุนวัยเกษียณต่าง ๆ ดังนี้
เงินออม (ชราภาพ) ประกันสังคม
กองทุนประกันสังคมเพื่อชราภาพ เป็นส่วนหนึ่งของกองทุนประกันสังคม ที่ให้ความคุ้มครอง 7 กรณีดังนี้คือ
- กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
- ทุพพลภาพ
- เสียชีวิต
- กรณีคลอดบุตร
- สงเคราะห์บุตร
- ชราภาพ
- ว่างงาน (มีผลตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2547)
เงินบำเหน็จชราภาพ ผู้ประกันตนจะได้รับเงินก้อนครั้งเดียวเมื่อครบอายุ 55 ปี ในกรณีที่ส่งเงินเข้ากองทุนน้อยกว่า 180 เดือนจากปกติผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญรายเดือนไปตลอดชีพ แต่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนไม่น้อยกว่า 180 เดือน หรือกรณีผู้รับบำนาญชราภาพเสียชีวิตภายใน 60 เดือน นับจากเดือนที่มีสิทธิได้รับบำนาญชราภาพ จำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับงวดสุดท้ายก่อนเสียชีวิต
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) คล้ายกับกองทุนชราภาพจากประกันสังคม และการันตีเงินบำนาญให้สมาชิกเมื่อออมได้ตามเงื่อนไข โดยเฉพาะคนที่มีอายุ 15-60 ปี เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือแรงงานนอกระบบ (ฟรีแลนซ์) การออมเงินกับ กอช. ถือว่าตอบโจทย์มากที่สุด เพราะสมาชิกสามารถเลือกออมได้โดยสมัครใจ เมื่อครบอายุ 60 ปี ก็จะจ่ายเงินแบบบำนาญรายเดือนเท่านั้น ที่สำคัญเรามีสิทธิได้รับเงินสมทบจากภาครัฐบาลตามขั้นอายุ ยิ่งอายุมากรัฐก็จะช่วยสมทบให้มากขึ้นสูงสุด 80% ไม่เกิน 960 บาทต่อปี
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข. เป็นการออมเกษียณภาคบังคับสำหรับข้าราชการในประเทศไทยโดยสมาชิกต้องสะสมเงินอย่างน้อย 3% ของเงินเดือนและสามารถสะสมเพิ่มได้อีกสูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินเดือน และรัฐบาลจะให้เพิ่มอัตรา 3%
แผนการออมเงินอื่น ๆ
นอกจากแผนการออมเงินที่พูดถึงก่อนหน้านี้แล้ว ยังสามารถวางแผนออมเงินเพื่อนำไปใช้ในวัยเกษียณได้ เช่น กองทุน (ยกตัวอย่าง กองทุน SSF เป็นกองทุนรวมที่มีสิทธิทางภาษี กองทุน RMF) การทำประกันชีวิต เงินฝาก และประกันบำนาญ เป็นต้น
แผนการออมเงินที่ทำร่วมกันได้
แผนการออมเงินที่ทำร่วมกันได้นั้น แบ่งเป็น 3 กรณี
- การออมเงินกับกบข. เหมาะกับข้าราชการ แล้วยังสามารถซื้อประกันชีวิต ประกันบำนาญ ฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ ซื้อกองทุน RMF หรือ กองทุน SSF ซึ่งสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนประกันสังคมเหมาะสำหรับพนักงานเอกชน นอกจากนี้ก็ยังออมเงินแบบประกันชีวิต ประกันบำนาญ หรือ ออมในรูปกองทุน RMF กองทุน SSF รวมถึงประกันบำนาญได้อีกด้วย
- กองทุนการออมแห่งชาติ หรือกอช. เหมาะกับอาชีพอิสระ และยังสามารถออมเงินแบบประกันชีวิต ประกันบำนาญ หรือ ออมในรูปกองทุน RMF กองทุน SSF รวมถึงประกันบำนาญได้เช่นเดียวกัน
การเตรียมความพร้อมก่อนวัยเกษียณอายุ ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการวางแผนดำเนินชีวิตให้มีความสุข ผู้สูงอายุจึงต้องเตรียมความพร้อม ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สุขภาพ เงินออมที่มี และสิทธิการรักษาต่าง ๆ เพื่อจะได้มีวัยเกษียณที่สามารถใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ และได้ใช้เวลาพักผ่อนได้อย่างสบายใจ